บทความ
คุณค่าทางโภชนาการ
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ

กล้วยบวชชีทำจากกะทิธัญพืชถ้วยนี้ให้พลังงาน ๒๗๕ กิโลแคลอรี หรือคิดเป็น ๑ ใน ๖ ของผู้ที่ต้องการพลังงานวันละ ๑,๖๐๐ กิโลแคลอรี และให้ไขมัน ๑๖.๒ กรัม หรือประมาณร้อยละ ๒๗ ของปริมาณไขมันที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน (แนะนำโดยเฉลี่ย ๖๐ กรัม) ซึ่งไขมันนี้มาจากน้ำกะทินั่นเอง สำหรับกล้วยบวชชีที่ใช้กะทิธรรมดาและมีความเข้มข้นของกะทิปานกลางให้พลังงานมากกว่ากล้วยบวชชีที่ทำจากกะทิธัญพืชประมาณ ๕๐ กิโลแคลอรี โดยให้ไขมันและคาร์ไบ-ไฮเดรตมากกว่า เนื่องจากพลังงานและไขมันจากกล้วยบวชชีส่วนใหญ่มาจากกะทิและน้ำตาล ดังนั้น ขนมหวานถ้วยนี้จะให้พลังงานและไขมันมากหรือน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของการคั้น กะทิและปริมาณ แต่ถ้าใช้กะทิสำเร็จรูป ควรผสมน้ำลงไปเพื่อเจือจางความเข้มข้นของกะทิ ส่วนน้ำตาลให้ใส่พอประมาณอย่าให้กล้วยบวชชีมีรสชาติหวานจัด ถ้าเป็นกล้วยบวชชีที่ซื้อมาจากร้านค้า เราอาจลดพลังงานและไขมันได้โดยการกินในส่วนที่เป็นน้ำกะทิแต่พอประมาณเท่านั้น หรือถ้ารู้สึกว่ากินในส่วนน้ำกะทิมากไปสักหน่อย เมื่อกินอาหารในมื้อต่อไปเราควรลดหรือหลีกเลี่ยงการกินอาหารประเภทผัด ทอด อาหารที่มีกะทิเป็นส่วนประกอบ แ...
ส่วนผสมและวิธีทำ
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ

ส่วนผสม กล้วยน้ำว้า 1 หวี...(ที่ซื้อมามี 16 ลูก ถ้าเลือกกล้วยเหลืองมาก ๆ กล้วยบวดชีที่ได้จะเละค่ะ แล้วแต่ความชอบนะคะว่าชอบกล้วยแข็งมากน้อยขนาดไหน) น้ำเปล่า 5 ถ้วยตวง หัวกะทิจากถุง 2 + 1/2 ถ้วยตวง น้ำตาลทราย 1 + 3/4 ถ้วยตวง เกลือป่น 2 ช้อนชา วิธีทำ ปอกเปลือกกล้วย ผ่ากล้วยแต่ละลูกเป็น 4 ชิ้น เอาหัวกะทิใส่หม้อ 1 ถ้วยตวง เติมน้ำเปล่า 5 ถ้วยตวง ยกหม้อตั้งไฟกลาง ๆ ให้พอกะทิเดือด ใส่กล้วยลงไปต้มให้สุก คนเป็นระยะ ใช้วิธีชิมเอาก็ได้ค่ะว่ากล้วยนิ่มขนาดไหนแล้ว กล้วยสุกแล้วใส่น้ำตาลทรายและเกลือ ให้น้ำตาลทรายและเกลือละลายให้หมด ชิมตามชอบ น้ำตาลทรายและเกลือละลายหมดแล้วใส่หัวกะทิที่เหลือ 1 + 1/2 ถ้วยตวง ตั้งไฟพอเดือด ปิดเตาค่ะ ถ้าตั้งนานกะทิจะแตกมันมากเป็นลูก ๆ แล้วแต่ความชอบ
ทำไมกล้วยต้องบวดชี
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
เนื่องจากสมัยก่อนของหวานที่ใช้เผือก มัน ฟักทอง กล้วยห่าม หรือสาเก ต้มกับน้ำตาลและกะทิ เราจะเรียกขนมหวานพวกนี้ว่า ขนมแกงบวด (ใช้ ด.เด็กนะจ๊ะ) และส่วนผสมสำคัญจะใช้น้ำตาล แต่.. น้ำตาลที่ใช้คือน้ำตาลมะพร้าว หรือน้ำตาลโตนด จึงทำให้สีออกไปทางน้ำตาล เว้นแต่ กล้วย ซึ่งมักใช้น้ำตาลทรายเป็นหลัก สีจึงแตกต่างจากผลไม้แกงบวดอื่น ๆ ไม่เป็นสีน้ำตาลแต่เป็นสีค่อนข้างขาว เหมือนนุ่งขาวห่มขาว (ตัดกับน้ำตาลแบบ) ทำให้ได้ชื่อที่พิเศษกว่าขนมหวานอื่นว่า กล้วยบวชชี สาเหตุที่ได้ชื่อนี้มาอาจจะเนื่องจาก สมัยก่อนชายที่ถึงเกณฑ์แต่ยังไม่ได้บวชจะถือว่าเป็น “คนดิบ” ต้องบวชให้เป็น “คนสุก” เสียก่อนจึงจะครองเรือนได้ คำว่า ดิบ นี้ ไม่ใช่หมายถึง เนื้อหนังมังสานี้ดิบ แต่ท่านหมายถึง “จิตใจ” ยังดิบอยู่ คือ ยังมิได้อบรมในด้านพระธรรมวินัยมาก่อน เช่นเดียวกับ กล้วยที่นำมาทำขนมแกงบวดนั้น มักจะใช้กล้วยห่าม ซึ่งยังไม่สุกดี เมื่อนำมาทำให้สุกเพื่อให้รสชาติหวานขึ้น สุกขึ้น ด้วยน้ำตาลทรายจนเป็นสีขาว จึงเปรียบได้กับการบวชชีนั่นเอง